วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดในช่องท้อง
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554
นิ่วในถุงน้ำดี ...

เห็นรูปข้างๆ นี้ไหมคะ นี่คือ รูปช่องท้องของเราโดยรวม จะเห็นมีจุดสีดำทางขวามือ ที่อยู่ซ่อนใต้ตับนี่ล่ะค่ะ มันคือถุงน้ำดี เป้าหมายที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ค่ะ
น้ำดีเป็นของเหลวที่สร้างจากตับ ทำหน้าที่ในการย่อยไขมัน คงไม่ต้องลงรายละเอียดทางวิชาการนะคะว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง เดี๋ยวจะงงและสับสน เอาง่ายๆละกันค่ะ
เมื่อเราทานอาหาร อาหารจะผ่านจากปาก ลงมาหลอดอาหาร และลงมาค้างอยู่ในกระเพาะ แล้วจึงค่อยๆ ผ่านลำไส้เล็กลงมาช้า ตรงลำไส้เล็กนี่เองค่ะ ที่มีท่อทางเดินน้ำดี มาเปิดอยู่ และมีน้ำดีไหลลงมาย่อยส่วนที่เป็นไขมัน
คนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่ มักไม่มีอาการใดๆ มักบังเอิญตรวจเจอระหว่างที่ทำการตรวจโรคอื่นมากกว่า สำหรับผู้ที่มีอาการมักจะมาด้วยเรื่อง ท้องอืด หรือแน่นท้อง บางคนก็มีอาการจุกเสียด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป้นหลังทานอาหารมันๆ เมื่อไปตรวจกับแพทย์ มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าโรคกระเพาะ แต่พอทานยารักษา กลับไม่หายซักที อย่างไรก็ตาม นิ่วในถุงน้ำดี ไม่ใช่โรคเดียวที่มีอาการสับสนกับโรคกระเพาะหรอกนะคะ ต้องระวังโรคอื่นด้วย
นอกจากนี้ บางคนอาจจะไม่ได้มาพบแพทย์ด้วยเรื่องของจุกเสียดแน่นท้อง แต่กลับมาพบแพทย์ด้วยอาการแทรกซ้อนของนิ่วในถุงน้ำดี ก็ได้ค่ะ ที่พบได้บ่อยมากๆเลยคือ ภาวะ ถุงน้ำดีอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีภาวะดีซ่านจากตับอักเสบ หรือนิ่วหล่นลงไปอุดตัดท่อน้ำดีได้อีกต่างหากค่ะ
เอ..ทีนี้ ถ้าโดยปกติ ไม่มีอาการเนี่ย แปลว่า ไม่อันตรายใช่ไหมนะ ....คำตอบคือ ... ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนล่ะก้ คุณจะเก็บนิ่วนี้ไว้ก็ได้ค่ะ แต่มันก็เหมือน เก็บระเบิดเวลาไว้ในช่องท้องคุณนะคะ ทำไมเหรอคะ? ลองมาพิจารณาตามนี้ดูนะคะ
จากรูป พอจะเห็นระบบท่อน้ำดีคร่าวๆนะคะ เอาล่ะ ตอนนี้ คุณมีนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งเปรียบเสมือนก้อนหิน อยู่ในส่วนที่เป็นถุงน้ำดี ที่มีลักษณะเป็นถุง เหมือนลูกโป่งที่เรามักเอามาเป่าเล่นเมื่อคุณทานอาหารที่มีไขมัน มันจะบีบตัวเพื่อไล่น้ำดีออกมาย่อยไขมัน ลองนึกภาพดูนะคะ มันกำลังบีบตัว เจอก้อนหินค้ำไว้ เป็นไงคะ เหมือนคุณกำมือบีบก้อนหินไงคะ คุณจะปวดจุกๆได้ เอาล่ะยังไม่จบ เมื่อคุณเคลื่อนไหว พลิกตัว ขยับ ก้อนหิน ก็ยังคงอยู่ในถุงลูกโป่งที่มีน้ำหล่ออยู่ เขย่าๆ หินนั้นก็จะสีกับผนังลูกโป่งใช่ไหมคะ ผลคือ เกิดการอักเสบ กลายเป็นถุงน้ำดีอักเสบไงคะ
ถ้าคุณทานอาหารมันบ่อยๆ ถุงน้ำดีบีบตัวบ่อยๆ ไล่น้ำดีที่มีก้อนหินกลิ้งไปมาอยู่ วันดีคืนดี ก้อนหินที่ว่า กลิ้งตามแรงบีบ หลุดเข้าท่อน้ำดีไปอุดท่อน้ำดี เอาล่ะ ท่อตัน น้ำดีไหลลงมาไม่ได้ ย้อนขึ้นไปที่ตับ เกิดอาการตับอักเสบ เป็นดีซ่านขึ้นมาอีก เห็นไหมคะ ระเบิดเวลาชัดๆ ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป ถ้ามี ก็หนักเลยค่ะ
ที่นี้มาดูการรักษากันนะคะ การรักษานิ่วในถุงน้ำดี คือการถุงน้ำดีออกค่ะ เอาทั้งถุง และนิ่วออกไปเลย ที่เราไม่เปิดถุงน้ำดีเอานิ่วออก แล้วเย็บซ่อมถุงน้ำดี เนื่องจากปมไหมเย็บจะก่อให้เกิดการตกตะกอนกระตุ้นให้เกิดนิ่วก้อนใหม่ได้ค่ะ
ทีนี้ผู้เขียนมักพบคำถามยอดฮิด คือ"ทานยาให้หายได้ไหม? " คำตอบคือ ไม่ได้ค่ะ ปัจจุบันนี้ไม่มียาตัวใดสามารถทำให้นิ่วในถุงน้ำดีละลายได้
"ยิงสลายนิ่วไม่ได้เหรอ? " คำตอบคือ ไม่ได้ค่ะ ทำไมน่ะเหรอ เพราะนิ่วในถุงน้ำดี และ นิ่วในไต มีความแข็งต่างกันมาก ทำให้การยิงด้วยคลื่นเสียงไม่สามารถทำให้ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีแตกละลายออกมาได้ โดยที่ไม่ทำร้ายอวัยวะโดยรอบค่ะ เปรียบง่ายให้เห็นภาพคือ นิ่วในถุงน้ำดีเหมือนก้อนหิน แต่ นิ่วในไตเหมือนก้อนกรวดที่เกิดจากทราย ป่นได้ง่ายกว่าค่ะ ดังนั้น หากเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ไม่ผ่าตัดจะไม่หายค่ะ
การผ่าตัด ปัจจุบันมีสองรูปแบบ คือ การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง และ การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง จุดมุ่งหมายในการผ่าตัดทั้งสองแบบคือ การเอาถุงน้ำดีออกจากร่างกายค่ะ ทีนี้ เรามาดูข้อดี ข้อเสีย การผ่าตัดแต่ละแบบกันนะคะ
การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องดมยาสลบ อยู่โรงพยาบาล ประมาณ 4 - 5 วัน ขึ้นกับแต่ละบุคคล แผลมักจะยาวประมาณ 15 เซนติเมตรขึ้นไป อันนี้ขึ้นกับ ความหนาของหน้าท้อง และมุมของตับนะคะ ข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้คือ แพทย์ผ่าตัด ได้ใช้มือจับด้วยตนเอง กระทำผ่าตัด โดยสัมผัสของแพทย์ มองเห็นชัดๆ จากตาของตนเอง เป็นวิธีมาตรฐาน และหากมีภาวะอื่นที่ตรวจพบร่วม อาจให้การรักษาต่อเนื่องไปในคราวเดียวกัน ขึ้นกับความเหมาะสม เช่น เห็นนิ่วในท่อน้าดีใหญ่ร่วมด้วย ก็อาจพิจารณา เปิดดุท่อน้ำดีต่อได้เลยเป็นต้น
การผ่าตัดแบบส่องกล้อง เป็นการผ่าตัดใหญ่เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเทียบกับการเปิดหน้าท้อง ถือว่าเสียเลือดน้อยกว่า ต้องดมยาสลบเหมือนกัน อยู่รพ. น้อยกว่า คือ ประมาณ 3 วัน ก็กลับได้ แผลมี ประมาณ 3 แผล ยาวประมาณ แผลละ 3 เซนติเมตร ปวดน้อยกว่า แต่ต้องใช้แพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญในการส่องกล้องเท่านนั้น หากเคยผ่าตัดช่องท้องมาแล้ว ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม ไม่สามารถผ่าตัดโดยวิธีนี้ได้ และ การผ่าตัดผ่านกล้องนั้น แพทย์ จะมองผ่ากล้อง ใช้เครื่องมือจับอีกที ไม่ได้จับเนื้อเยื่อโดยตรง และสุดท้าย หากไม่สามารถเอาถุงน้ำดีออกได้ โดยใช้เครื่องมือ ก้จะต้องเปลี่ยนการผ่าตัดเป็นการเปิดหน้าท้องอยู่ดีค่ะ
ขอแถมอีกนิด อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ มีคำถามบ่อยๆ ว่า เอ.. ถ้าเอาถุงน้ำดีออก ไปจากร่างกาย จะไม่เป็นปัญหาเหรอ? ย้อนกลับไปดูภาพข้างบนอีกครั้งนะคะ ถุงน้าดี ทำหน้าที่ในการเก็บน้ำดีที่ผลิตจากตับ เพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน เมื่อคุณทานอาหาร อาหารจะผ่านช่องปาก ลง หลอดอาหาร ไปตกที่กระเพาะอาหาร จะพักอยู่ตรงนั้น กระเพาะจะค่อยๆ บีบไล่ อาหารผ่านลำไส้เล็กไปช้าๆ ใช้เวลาในการบีบอาหารออกจากกระเพาะอาหารทั้งหมด 4 -6 ชั่วโมงโดยประมาณ เมื่ออาหารหมดกระเพาะ เราก็จะหิว แล้วเริ่มหาอะไรทานอีก เมื่ออาหารเดินทางมาที่ลำไส้เล็ก ถุงน้ำดีจะบีบตัวเพื่อไล่น้ำดี ออกมาย่อยอาหาร
ถ้าเราตัดถุงน้ำดีออก น้ำดีจะไหลจากตับ ลงไปที่ลำไส้เล็กเลย เอาล่ะ เราเริ่มชีวิตตอนเช้า ทานข้าวเช้า 6.00 โมงเช้า น้ำดี ไหลลงมาย่อยอาหารเรื่อยๆ โดยมีอาหารที่กระเพาะ ค่อยๆ บีบตัวผ่านไปช้าๆ จนเมื่อครบ 6 ชั่วโมง อาหารหมด เราจะหิว เที่ยงพอดี ทานเข้าไปอีก ย่อยช้าๆต่อ จนเย็น หกโมง ทานอหารอีก เห็นไหมคะ แทบจะไม่มีข้อแตกต่างกับตอนที่มีถุงน้ำดีเลย เอาละแล้วกลางคืนล่ะ 12 ชั่วโมงเชียวนะ ...ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อเราหลับน้ำดีก็จะผลิตน้อยไปด้วย เห็นไหมคะ ค่อนข้างจะไม่มีปัญหา หากคุณ ทานอาหารตามปกติ ไม่ได้อดมื้อกินมื้อ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลค่ะ
ทีนี้ ถ้าคุณอยากจะผ่าตัดแบบไหน คงต้องเลือกกันเองล่ะค่ะ
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เวียนศรีษะ-บ้านหมุน
เวียนศีรษะ-บ้านหมุน (Vertigo) คืออาการเวียนศีรษะที่มีมากกว่าธรรมดา เพราะมีอาการรู้สึกเหมือนบ้านหรือสิ่งของที่มองเห็นหมุนได้ ผู้ที่เป็นจะรู้สึกเสียอาการทรงตัว และมีอาการคลื่นไส้ หรืออาจจะมีอาเจียนร่วมด้วย
อาการมักจะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยเฉพาะในจผู้สูงอายุ อาการแบบนี้มักไม่ค่อยเป็นอันตราย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นอาการนำของโรคร้ายแรงอื่นๆ
เวียนศรีษะ-บ้านหมุน เป็น เพียงกลุ่มอาการเท่านั้น ซึ่งบ่งบอกถึงว่ามีความผิดปกติในการรักษาสมดุลของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจาก สมอง, ระบบประสาทหูส่วนกลาง, ระบบการไหลเวียนโลหิต ยา ฯลฯ
นับว่าโชคดีไม่น้อยที่อาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุน ส่วนใหญ่มักเป็นชั่วคราว และไม่ใช่มาจากสาเหตุโรคร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งมีเพียงส่วนน้อยนิดที่มาจากโรคร้าย ส่วนใหญ่ที่เป็นมักไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด บางคนเป็นไม่กี่ชั่วโมง บางคนเป็นอยู่หลายๆ วันหรือเป็นๆ หายๆ
ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบอาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุน ได้แก่
๑. อุบัติเหตุทางสมอง
๒. สมองขาดเลือด
๓. เครียด วิตกกังวล
๔. อดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ
๕. ดื่มสุรา หรือยาบางชนิด
๖. การอักเสบของหูชั้นใน
๗. โรคเมเนียส์ ( Meniere's disease) ซึ่งเป็นโรคของประสาทหูชั้นในชนิดหนึ่ง
๘. ปวดศีรษะไมเกรน บางคนมีอาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุนร่วมด้วย
๙. เนื้องอกในสมอง หรือในหู
๑๐. การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น บางคนไปเที่ยว สวนสนุก นั่งเครื่องเล่นที่หมุนเร็วก็เป็นได้
อันตรายมากไหม
ลำพัง แต่อาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุนถ้าไม่ได้มาจากสาเหตุที่ร้ายแรงไม่เป็นอันตราย แต่ที่อันตรายคืออุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้จากการเสียการทรงตัว โดยเฉพาะ คนที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรกล หรือยานพาหนะที่มีความ เร็วสูงหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ใน คนที่มีอาการอาเจียนมากๆ ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ถ้าหากได้น้ำและเกลือแร่ทดแทนไม่ทัน จะทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ ความดันเลือดจะตกต่ำลง และอาจจะมีอาการของภาวะช็อกได้ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข ก็ทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ส่วนผู้ที่มีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ ก็มีอันตรายเป็นเพราะจากโรคนั้นๆ
ดูแลตนเองอย่างไรดี
เนื่อง จากอาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุนพบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุทั้งหลาย การรู้จักวิธีการดูแลรักษาตัวเองเบื้องต้น จะช่วยให้มีความสะดวกและลดการพึ่งพาแพทย์และโรงพยาบาลได้มาก การดูแลตนเองค่อนข้างไม่ยากและลำบากแต่ประการใด ส่วนใหญ่แล้ว อาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุนหายเองได้ แม้ไม่ได้ทำอะไรเลย การรักษาและดูแลตนเองช่วยให้อาการทุเลาลงได้เร็ว และลดความ ทุกข์ทรมานของอาการเวียนศีรษะ-บ้านหมุน
เมื่อท่านมีอาการเวียน ศีรษะ-บ้านหมุน สิ่งที่ควรทำ มีดังต่อไปนี้
๑. นอนพัก เพราะจะเสียการทรงตัว การนอนพักช่วยลดอาการและลดอุบัติเหตุได้ การนอนหลับตาจะช่วยได้มาก บางคนลืมตาไม่ได้เลย เพราะจะมีอาการมากขึ้น
๒. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ถ้ามีใครอยู่เป็นเพื่อนยิ่งดี การเดินไปที่ต่างๆ เช่น ห้องน้ำ ควรมีคนพยุงไปส่ง
๓. ห้ามขับรถเด็ดขาด เพราะอันตรายมาก
๔. ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ หรือน้ำเกลือแร่ โดยการจิบบ่อยๆ เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้ กินอาหารไม่ได้ หรืออาเจียน การดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ ช่วยลดอาการขาดน้ำได้ และช่วยไม่ให้อ่อนเพลีย
๕. กินยาพวกไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate) ขนาด ๕๐ มิลลิกรัม (ยาแก้เมารถ เมาเรือ) กินครั้งละ ๑ เม็ด ทุกๆ ๖ ชั่วโมง จนเมื่ออาการดีขึ้นก็ลดเป็น ทุกๆ ๘ ชั่วโมง เมื่ออาการเป็นปกติดีแล้วสัก ๑-๒ วัน ก็สามารถหยุดยาได้ ในขณะเดียวกันอาจจะกินยา ซินนาริซีน (cinnarizine) ขนาด ๒๕ มิลลิกรัม หรือ เมอริสลอน ขนาด ๖ มิลลิกรัม ครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๓ ครั้ง พร้อมๆ กันก็ได้
ทำ ตามอย่างนี้แล้ว ส่วนมากอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อสามารถเดินตัวตรงได้ ไม่มีอาการอะไร ก็สามารถ ทำงานหรือกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามปกติ คราวต่อๆ ไป เมื่อเริ่มๆ จะเป็นอาการแบบนี้ขึ้น
นมาอีก ก็ทำตามอย่างข้างบนเลย ไม่ต้องรอให้เป็นมากๆ จะได้ผลดีกว่า เพราะถ้ารอให้เป็นมากๆ โดยเฉพาะถ้ามีอาเจียนมากแล้วจะลำบาก
การ ดูแลตนเองเบื้องต้นมักจะได้ผลเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งด้วยปัจจัยหลายๆ ประการ จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
หลายคนอาจจะกังวลและสงสัยว่า เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์
มี หลายคนที่ไม่เคยไปพบแพทย์เลย และก็มีหลายคนเช่นกันที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ต้องไป พบแพทย์ทุกๆ ครั้ง ซึ่งก็ไม่ดีทั้ง ๒ ทาง ดังนั้น จึงมี ข้อแนะนำง่ายๆ ดังนี้
๑. เมื่อทำตามวิธีการดูแลด้วยตนเอง ข้างต้นแล้วผ่านไปอย่างน้อย ๘_๑๒ ชั่วโมงไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง ควรรีบไปพบแพทย์
๒. มีอาการอาเจียนมาก กินยา และดื่มน้ำไม่ได้เลย หรือกินยาแล้วมีอาเจียนทุกครั้ง ร่างกายจะขาดน้ำ เกลือแร่ และยา อย่าฝืนทน ควรไปพบแพทย์เพื่อฉีดยา และบางรายอาจจะต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ในรายที่เป็นมากจริงๆ อาจจะต้องพักในโรงพยาบาล แต่มีเป็นส่วนน้อย
๓. เมื่ออาการดีขึ้น แต่ไม่ยอมหายเป็นปกติเสียที ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพราะอาจจะมีสาเหตุบางอย่างซ่อนอยู่ ที่อาจจะจำเป็นต้องได้รับการค้นหาและรักษาที่ต้นเหตุ
๔. เป็นบ่อยๆ มากๆ จนรบกวนชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ก็ต้องหาสาเหตุเช่นกัน หรือในรายที่ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ การกินยาป้องกันไว้ก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
ขณะ นี้มีการใช้สมุนไพรกันมาก มีที่ได้ผลและไม่ได้ผล การใช้สมุนไพรมักเป็นลักษณะบอกต่างๆ กัน ความน่าเชื่อถือยังค่อนข้างมีปัญหา การเลือกซื้อจึงมีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะธุรกิจขายตรงที่มีโอกาสเป็นลักษณะชวนเชื่อได้ง่ายๆ และราคามักจะแพงมาก
\มีสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยมากพอควรที่น่าเชื่อถือ ได้ว่าจะช่วยรักษาอาการเวียนศีรษะ_บ้านหมุนได้ คือ สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko Biloba) ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป วิธีใช้มักจะเขียนรายละเอียด ที่ข้างกล่อง
จะป้องกันได้อย่างไร
การป้องกันค่อนข้างยากในรายที่ไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนรายที่มีสาเหตุแน่ชัดมาจากปัจจัยบางอย่าง ควรต้องพยายามหลีกเลี่ยงจากปัจจัยนั้นๆ ซึ่งได้จากการสังเกตของเราเองหรือจากคำแนะนำของแพทย์
โดย รวมๆ แล้ว การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปก็จะทำให้โอกาสเป็นน้อยลง หรืออาจจะไม่เป็นเลย เช่น พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้สงบและผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงยาเสพติดและของมึนเมา กินอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด การปฏิบัติเช่นนี้ ยังอำนวย ผลดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มารู้จัก พังพืดใต้ลิ้น กันเถอะ!!!
ลูกคุณจะงับหัวนมไม่ค่อยติดเมื่อดูดนม ดูดเบา ดูดบ่อย น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นตามกำหนด มีอาการตัวเหลือง สำหรับมารดาก็จะมีอาการเจ็บขณะที่ทารกดูดนม อาจมีหัวนมแตกเป็นแผลและส่งผลแทรกซ้อนถึงเต้านมอักเสบได้
เนื่องจากลิ้นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งในการพูด โดยเฉพาะปลายลิ้นที่ต้องช่วยในขณะออกเสียงควบกล้ำ ดังนั้นในเด็กโตที่มีพังผืดยึดมาถึงบริเวณปลายลิ้นอาจพูดไม่ได้ พูดช้าและมีปมด้อยได้ แต่เนื่องจากพังผืดเกิดในทารกแรกเกิดมีแนวโน้มที่จะยืดออกเองได้ จึงยังไม่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนในการรักษา ขณะที่เป็นทารกแรกเกิด หากยังไม่มีปัญหาเรื่องการดูดนมมารดา แพทย์ก็จะทำการนัดมาตรวจเป็นระยะๆ หากพังผืดยืดออกได้เองก็ไม่ต้องทำการรักษา หากไม่ยืดออกก็จะพิจารณารักษาต่อไป
ปัจจุบันคณะผู้ทำการรักษาได้ประยุกต์วิธีการผ่าตัดโดยใช้ยาชาเฉพาะที่มาใช้ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าทำการรักษาได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับการรักษาโดยการดมยาสลบ และที่สำคัญที่สุด คือเด็กสามารถดูดนมได้ทั้งตั้งแต่ก่อนผ่าตัด และหลังผ่าตัด นอกจากนี้ยังสามารถกลับบ้านได้ทันที หลังจากได้รับการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยอีกด้วย
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
คลำเจอก้อนที่เต้านม!! ทำอย่างไรดี!?
เมื่อเกิดเป็นผู้หญิง ต้องยอมรับว่า ผู้หญิงทุกคน จะต้องมี " เต้านม" มีมากมีน้อยต่างกันไป แล้วเมื่อวันหนึ่งคุณเกิดรู้สึกว่า เต้านมของคุณมีก้อนขึ้นมา คุณจะทำอย่างไร
เป็นความจริงที่ว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง แต่เมื่อเราคลำได้ก้อนที่เต้านม ก้อนที่เราคลำได้นั้น อาจจะไม่ใช่ "มะเร็ง" เสมอไป
เมื่อคุณคลำได้ก้อนที่เต้านมนั้น โดยปกติแล้ว ร้อยละ 95 นั้นจะเป็นต่อมเต้านมที่โตผิดปกติ ( Fibroadenoma) หรือ ซีสต์( Fibrocystic disease) อีกร้อยละ 5 นั้น มีโอกาสที่จะเป็นเนื้อร้ายได้
และหากคุณมีประวัติเนื้อร้ายในครอบครัวสายตรง เข่น บิดา มารดา พี่ น้อง โอกาสที่คุณจะเป็นเนื้อร้าย หรือมะเร็งจะมากขึ้นอีก
ดั้งนั้น เมื่อคุณคลำได้ก้อน อันดับแรกที่คุณต้องทำคือ ไปพบแพทย์ ให้แพทย์ได้ตรวจเต้านมของคุณ
ในผู้หญิงอายุ ยังน้อย วัย 10 กว่า หรือ 20 กว่าปี ส่วนใหญ่เป็น ต่อมเต้านมที่โตผิดปกติ ( Fibroadenoma) ลักษณะของก้อนที่พบ มักจะเป็นก้อนเพียงก้อนเดียว (มีเพียง 5 % เท่านั้นที่พบหลายก้อน) ก้อนที่พบมักจะไม่เจ็บ ขอบเขตกลมเรียบคล้ายลูกชิ้น กลิ้งไปมาได้ การเปลี่ยนแปลงของก้อนมักจะเป็นไปอย่าช้าๆ คือ โตขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายๆ เดือนก็ตาม พบได้ตั้งแต่ก้อนเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตรก็มี
ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเป็น ซีสต์ของต่อมเต้านม ซึ่งเป็นภาวะที่น้ำขังอยู่ในเนื้อเต้านม อยู่กันเป็นหย่อมๆ ทำให้เวลาตรวจดูจะพบเป็นถุงน้ำ หรือ เมื่อคลำจากภายนอก ก็ได้เป็นก้อนในเนื้อนม เล็กบ้างใหญ่บ้าง คนที่เป็นซีสที่เต้านม อาจมีจะมีปัญหาปวดบริเวณเต้านม อาจจะเจ็บหรือปวดเนื่องจากน้ำในซีส ดันเนื้อนมรอบข้าง ทำให้เต้านมตึง จึงเกิดอาการปวด และบางครั้งอาจจะคลำ พบก้อนที่เต้านมด้วยก็ได้ ก้อนที่เต้านม อาจมีได้หลายตำแหน่ง และอาจโตๆ ยุบๆ โดยส่วนใหญ่จะโตตามรอบเดือน ทำให้มีอาการปวดช่วงใกล้มีประจำเดือน บางคนอาจบรรยายอาการปวดว่า ปวดคล้ายกับมีเข็มทิ่มในเต้านม
วิธีการรักษา มีให้เลือกหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
1. ผ่าตัดเลย --> ข้อดีของการผ่าตัดเลย คือ สามารถนำเอาชิ้นเนื้อมาตรวจได้ว่า ก้อนที่พบและผ่าตัดไปนั้น เป็นอะไร ผล 100% แต่ ไม่การันตีว่าจะไม่มีก้อนขึ้นมาใหม่นะคะ
--> ข้อเสียของการผ่าตัด คือ มีแผลเป็น ( อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้) มากหรือน้อยแตกต่างกันไป โดยเฉลี่ยแล้วจะใหญ่กว่าก้อนเล็กน้อย อีกอย่างคือ เจ็บ เมื่อฉีดยาชา และเมื่อยาชาหมดฤทธิ์ หากใครใช้วิธีดมยาสลบก็เจ็บหลังจากตื่นขึ้นมาอยู่ดีค่ะ แต่เจ็บนี้อยู่ไม่นาน ประมาณ 2-3วัน อาการเจ็บก็จะดีขึ้น
2. ไม่อยากผ่าตัด ไม่พร้อม ขอตัดสินใจก่อน ขอกลับไปปรึกษา( ใครก็ตาม)ก่อน เราสามารถดูอาการได้ อย่างที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า เมื่อพบก้อนที่เต้านมนั้น 95% เป็น ซีสต์ หรือต่อมเต้านมที่โตขึ้น(คือ เมื่อมีผู้หญิง 100คน มีก้อนที่เต้านมนั้น 95 คน จะเป็น ซีสต์ หรือต่อมเต้านมที่โตขึ้น อีก 5 คนเป็นเนื้อร้าย) ดังนั้น ตามสถิติแล้ว โอกาสเป็นเนื้อร้ายนั้น ไม่มาก สามารถจะติดตามการรักษาได้โดย
คลำเต้านมด้วยตัวเองทุกวัน โดยสังเกตุว่า ก้อนเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เจ็บมากขึ้นหรือไม่ โตขึ้นหรือไม่ มีเลือด หรือน้ำหนองไหลจากหัวนมหรือไม่ หากมี ควรกลับไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอวันนัด
แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ให้ไปติดตามการรักษาตามนัด
วิธีการคลำเต้านมนั้นมีวิธีเบื้องต้นดังนี้
1.ยืนหน้ากระจก

-ปล่อยแนบข้างลำตัวตามสบาย เปรียบเทียบเต้านมทั้ง 2 ข้างว่ามีการบิดเบี้ยวของหัวนม ความสูงต่ำ ของหัวนม หรือ สิ่งผิดปกติอื่นๆหรือไม่
-ประสานมือทั้ง 2 ข้างเหนือศรีษะแล้วกลับมาอยู่ในท่าท้าวสะเอว พร้อมทั้งดูสิ่งที่ผิด ปกติ
-ให้โค้งตัวมาข้างหน้าโดยใช้มือทั้ง 2 ข้าง วางบนเข่า ในท่านี้เต้านมจะห้อยลงไปตรง อาจมองเห็นความผิดปกติได้ชัดมากขึ้น
2.นอนราบ

-นอนในท่าที่สบายแล้วสอดหมอน หรือม้วนใต้ผ้าใต้ไหล่ซ้าย
-ยกแขนด้านเดียวกับเต้านมที่จะตรวจเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบซึ่งจะทำให้ คลำพบ ก้อนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอก ซึ่งมีเนื้อนมหนามากที่สุด และเกิดมะเร็งบ่อยกว่าส่วนอื่น
-ให้ใช้ 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และ นิ้วนาง คลำทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ ที่สำคัญคือ ห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกว่ามีก้อน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่
3.ขณะอาบน้ำ

-สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็ก
ให้วางมือข้างเดียวกับเต้านม ที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างคลำ ในทิศทางเดียวกับที่คลำในท่านอน
-สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้มือข้างนั้นประคองและตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้คลำจากด้านบน
วิธีการคลำ ให้ใช้สัมผัสบริเวณปลายนิ้ว วนเป็นก้นหอย จาก ฐานนมจนถึงหัวนม ดังรูปค่ะ


กรุณาอย่าใช้นิ้วจิ้มนะคะ ไม่รู้สึกว่ามีก้อนหรอกค่ะ จะเจ็บเสียเปล่าๆ
ในบางกรณี เช่น เมื่อมีอาการเจ็บเต้านมแล้ว แต่คลำไม่พบก้อน แพทย์อาจจะส่งตรวจ เอ็กซเรย์กับอัลตร้าซาวน์ หรือที่เราเรียกกันว่า mammogram ซึ่งจะกระทำได้ในคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ ถ้าอายุไม่ถึง 30 เท้อเต้านมจะเอ็กวเรย์ไม่ชัดเจน จะทำได้แค่ อัลตร้าซาวน์เท่านั้น การทำ mammogram มีข้อดีคือ ช่วยบอกคุรว่า มีก้อนจริงๆ นะ ก้อนน้ำ หรือก้อนเนื้อ มีการสะสมแคลเซียมที่ผิดปกติไหม แต่ไม่สามารถการันตี เรื่องมะเร็งได้ เนื่องจากสิ่งที่เห็นเป็นเงาเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ ผล mammogram บอกคุณว่า ไม่ได้เป็น เนื้อร้าย มันมีความแม่นยำแค่ 70-80% เท่านั้น ( หมายความว่า เมื่อนำคนที่เป็นมะเร็งเต้านม10 คนไปตรวจ mammogram ผล mammogram จะออกว่าเป็นมะเร็งแค่ 7-8 คน ที่เหลือจะบอกว่าไม่เป็นทั้งๆที่เป็นค่ะ)
ดังนั้น ควรระมัดระวังเรื่องข้อด้อยตรงนี้ ของ mammogram ไว้ด้วย
ปัจจุบันนี้มีการเจาะเอาก้อนไปตรวจ เพื่อดูชิ้นเนื้อคร่าวๆ เนื่องจาก ไม่ต้องการผ่าตัด ค่ะ ข้อดีคือ ไม่มีแผลเป็น มีเพียวรอยเข็มเหมือนเจาะเลือดเท่านั้น แต่ จะต้อง เจาะ 4 - 8 ครั้ง และ มี ความแม่นยำ ประมาณ 80 % เช่นกัน เนื่องจาก เราอาจจะเจาะไม่โดนก้อนตรงส่วนที่เป็นเนื้อร้ายก็ได้
ท้ายสุดถ้ายังคงกังวลละก็ ไปเอาออกมาตรวจเสียเถิดค่ะ ดีสุด ไม่กังวล สบายใจ นอนหลับด้วย
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552
ถ่ายเป็นเลือดสีแดง!!! ทำไงดี!!??
อย่าบอกว่าคุณไม่เคยมองนะ มันออกมาจากท้องของคุณ คุณไม่เคยดูนี่ ออกแนวผิดปกติไปหน่อยนะคะ
เชื่อไหมคะ ถ้าจับคนมานั่งถาม 100 คน มีคนที่ถ่ายเป็นเลือดสดๆ ถึงเกือบๆ 90% ไม่เชื่อลองถามเพื่อนคุณดูก็ได้ค่ะ เคยไหมเอ่ย??
สาเหตุการถ่ายเป็นเลือดสดๆ มักเกิดจากการที่มเลือดออกที่บริเวณลำไส้

เอ........ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เลือดออกมาจากบริเวณนี้ได้
หุหุ .... พอจะนึกออกไหมคะ? คุณน่าจะมีคำตอบในใจอยู่บ้างแล้ว
สาเหตุที่พบบ่อยที่คุณๆอาจจะเคยคุ้นหู อันดับแรก คือ ริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวาร คุณอาจจะเคยได้ยิน แล้วคุณทราบไหมคะ? ริดสีดวงทวารคืออะไร?
โดยส่วนใหญ่ หลายคนมักคิดว่า ริดสีดวงทวารเป็นก้อนที่รูทวาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ริดสีดวงทวารนั้น เป็นเส้นเลือดโป่งพองที่เกิดขึ้นบริเวณลำไส้ตรง และ รอบรูทวาร
อธิบายแบบนี้เข้าใจยากไหมคะ งั้น ลองดูใหม่ ถ้าเปรียบเทียบ ลำไส้ตรงแบบรูปด้านบน เป็น ท่อพีวีซี แบบท่อน้ำ ที่ตั้งตรงลงมา เส้นเลือดที่มาเลี้ยงลำไส้ตรง มีลักษณะเป็นร่างแห เปรียบเหมือนตะแกรงลวดที่นำมาล้อมทับลำไส้ตรงอีกครั้ง อา... ดูเหมือนจะวาดภาพออกใช่ไหมคะ เล้นเลือดที่ล้อมรอบลำไส้ตรงนั้นต่างกับตะแกรงลวดตรงที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่า ไม่แข็งกระด้างแบบโลหะ แต่ยืดหยุ่นได้เหมือนลูกโป่ง
ลองจิตนาการดูนะคะ เมื่อคุณเบ่ง หรือไอ ลูกโป่ง(ซึ่งในที่นี้คือเส้นเลือดที่ล้อมรอบไส้ตรงและรูทวารไว้)ก็จะพองออก เมื่อหยุดเบ่งก็จะยุบไป
เอ้า! เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ .....อีกที เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ .....อีกที เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ อะไรจะเกิดขึ้นกับลูกโป่งที่คุณเป่าบ่อยๆ
ลูกโป่งจะยืดมากขึ้น แล้วย้อยออกมา มันจะย้อยออกมาจนดันผนังลำไส้ออกมาในรูปเป็นก้อน คุณจึงเห็นเป็นก้อนที่รูทวาร
พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่า ริดสีดวงทวารเกิดจากอะไร เมื่อเข้าใจการดูแลรักษาก็จะง่ายขึ้น
มีคำถามว่า " เราจะต้องไปหาหมอไหม เมื่อเราถ่ายเป็นเลือด?" บอกตรงๆ นะคะ รบกวนถ้ามีเวลา กรุณาเถอะค่ะ ไปซักนิด จริงๆ แล้วการถ่ายเป็นเลือดนั้น มีได้หลายสาเหตุ ถึงสาเหตุที่เราพบบ่อยจะเป็นเรื่องของ ริดสีดวงทวารก็เถอะ แต่สาเหตุอื่นก็มีบ้าง เช่น การเป็นแผลที่รูทวาร แต่ ที่น่ากลัวคือการมีก้อนเนื้องอกที่รูทวาร อันที่เราเรียกกันว่า มะเร็งลำไส้นี่แหล่ะค่ะ
เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงเรื่องนี้ที่หลัง
มาดูกันว่า เมื่อคุณทราบว่าตัวเองนั้น เป็น ริดสีดวงทวารแล้ว จะทำอย่างไร??
ขออธิบายก่อนนะคะว่า ริดสีดวงทวาร มี 2 ประเภท คือ 1. ริดสีดวงทวารที่อยู่ด้านนอก ( External Hemorrhoid) ซึ่งเกิดต่ำกว่า dentate line 2. คือ ริดสีดวงทวารที่อยู่ด้านใน ( Internal Hemorrhoid) ซึ่งก็คือ ส่วนที่อยู่เหนือ dentate line ถ้าสงสัยว่า dentate line อยู่ตรงไหน ดูรูปนะคะ
โดยส่วนใหญ่ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีก้อนออกมา เรามักจะนึกถึงริดสีดวงทวารเมื่อมีก้อนที่รูทวารมากกว่าถ่ายเป็นเลือด แต่เมื่อมีถ่ายเป็นเลือด โดยส่วนใหญ่ กลับนึกถึงมะเร็งลำไส้ อืม....นะ ก็มันน่ากลัวกว่ากันนี่นา
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่า เอ .... ตัวคุณเป็นริดสีดวงทวารไหม? ให้ลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่ะ แต่ถ้าคุณไม่อยากไปพบแพทย์ ลองทำตามนี้ดูนะคะ ถ้าเป็นริดสีดวงทวารที่ไม่รุนแรง มักจะดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ถ้าเป็นรุนแรง คุณอาจจะต้องใช้ยาร่วมด้วยค่ะ
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อคุรเป็นริดสีดวงทวาร
1. ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ โดยคำนึงถึงน้ำหนักตัวเป็นหลัก
- ถ้าคุณน้ำหนักตัว 45-50 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 3 ลิตร ต่อ วัน
- ถ้าคุณน้ำหนักตัว 51-60 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 3 ลิตร ครึ่ง ต่อ วัน
- ถ้าคุณน้ำหนักตัว มากกว่า 61 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 4 ลิตร ต่อ วัน
ทั้งนี้ นี่คือปริมาณน้ำของผู้ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการดื่มน้ำนะคะ ถ้าเป็น โรคไต หรือ โรคหัวใจ จะต้องระวังเรื่องปริมาณน้ำมากกว่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ
2. ทานผักผลไม้มากๆ เนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื้อสัตว์ควรจะเป็นเนื้อปลา เนื้อไก่ ถ้าเป็นเนื้อหมู หรือเนื้อวัว กากจะแข็ง ทำให้ถ่ายลำบาก
ที่ควรระวังคือ ถ้าคุณ ทานผักมาก แต่ทานน้ำน้อย ไม่มีทางที่คุณจะถ่ายได้สบายหรอกค่ะ เหมือนกับปูนซิเมนต์ เมื่อผสมน้ำน้อยก็จะเห็นเป็นก้อนกรวดเล็กๆหยาบๆแทน ไม่มีประโยขน์อะไร ท้ายสุดมันก็แข็งและไม่ออกอยู่ดี
3. งดอาหารประเภท ของเผ็ด ของหมัก ของดอง ชา กาแฟ โอเลี้ยง น้ำอัดลม กระทิงแดง ลิโพ ( ของจำพวกเกดียวกัน แต่มียี่ห้ออื่นด้วยนะคะ) เหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาชุด ยาประดง ยาทัมใจ ยากระจายเส้น
4. ช่วงที่มีเลือดออก ถ้ามีอาการปวดที่รูทวาร ให้ใช้ น้ำอุ่น ใส่กะละมังนั่งแช่ เน้น!! นะคะ น้ำอุ่น ใส่กะละมังนั่งแช่ กรุณาอย่าขี้โกงใช้น้ำอุ่นจากฝักบัว ฉีดที่รูทวารแทน อันนั้นไม่ช่วยค่ะ จะทำให้อักเสบมากขึ้น แช่วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ครั้งละ 15 - 30 นาที
5. อันนี้อาจจะยากที่สุด ออกกำลังกายเบาๆ วันละ 30 นาที ไม่ต้องหักโหมมาก จุดประสงค์คือ ต้องการกระตุ้นลำไส้ ให้ลำไส้ ได้เคลื่อนไหวเยอะขึ้น การบีบตัวดี อุจจาระที่อยู่ในลำไส้ ก็จะออกมาเยอะขึ้น
โดยส่วนใหญ่ หากทำตามนี้ได้จริง จะสามารถหายได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือผ่าตัด แต่หากเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้จริงๆ แม้จะผ่าตัดสัก 10 รอบก็จะกลับมาเป็นใหม่อยู่ดีค่ะ
หวังว่า คงเข้าใจเรื่อง ริดสีดวงทวารมากขึ้นนะคะ
แล้วจะหาเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ