วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

คลำเจอก้อนที่เต้านม!! ทำอย่างไรดี!?

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก!!

เมื่อเกิดเป็นผู้หญิง ต้องยอมรับว่า ผู้หญิงทุกคน จะต้องมี " เต้านม" มีมากมีน้อยต่างกันไป แล้วเมื่อวันหนึ่งคุณเกิดรู้สึกว่า เต้านมของคุณมีก้อนขึ้นมา คุณจะทำอย่างไร

เป็นความจริงที่ว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง แต่เมื่อเราคลำได้ก้อนที่เต้านม ก้อนที่เราคลำได้นั้น อาจจะไม่ใช่ "มะเร็ง" เสมอไป

เมื่อคุณคลำได้ก้อนที่เต้านมนั้น โดยปกติแล้ว ร้อยละ 95 นั้นจะเป็นต่อมเต้านมที่โตผิดปกติ ( Fibroadenoma) หรือ ซีสต์( Fibrocystic disease) อีกร้อยละ 5 นั้น มีโอกาสที่จะเป็นเนื้อร้ายได้

และหากคุณมีประวัติเนื้อร้ายในครอบครัวสายตรง เข่น บิดา มารดา พี่ น้อง โอกาสที่คุณจะเป็นเนื้อร้าย หรือมะเร็งจะมากขึ้นอีก

ดั้งนั้น เมื่อคุณคลำได้ก้อน อันดับแรกที่คุณต้องทำคือ ไปพบแพทย์ ให้แพทย์ได้ตรวจเต้านมของคุณ

ในผู้หญิงอายุ ยังน้อย วัย 10 กว่า หรือ 20 กว่าปี ส่วนใหญ่เป็น ต่อมเต้านมที่โตผิดปกติ ( Fibroadenoma) ลักษณะของก้อนที่พบ มักจะเป็นก้อนเพียงก้อนเดียว (มีเพียง 5 % เท่านั้นที่พบหลายก้อน) ก้อนที่พบมักจะไม่เจ็บ ขอบเขตกลมเรียบคล้ายลูกชิ้น กลิ้งไปมาได้ การเปลี่ยนแปลงของก้อนมักจะเป็นไปอย่าช้าๆ คือ โตขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายๆ เดือนก็ตาม พบได้ตั้งแต่ก้อนเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตรก็มี

ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเป็น ซีสต์ของต่อมเต้านม ซึ่งเป็นภาวะที่น้ำขังอยู่ในเนื้อเต้านม อยู่กันเป็นหย่อมๆ ทำให้เวลาตรวจดูจะพบเป็นถุงน้ำ หรือ เมื่อคลำจากภายนอก ก็ได้เป็นก้อนในเนื้อนม เล็กบ้างใหญ่บ้าง คนที่เป็นซีสที่เต้านม อาจมีจะมีปัญหาปวดบริเวณเต้านม อาจจะเจ็บหรือปวดเนื่องจากน้ำในซีส ดันเนื้อนมรอบข้าง ทำให้เต้านมตึง จึงเกิดอาการปวด และบางครั้งอาจจะคลำ พบก้อนที่เต้านมด้วยก็ได้ ก้อนที่เต้านม อาจมีได้หลายตำแหน่ง และอาจโตๆ ยุบๆ โดยส่วนใหญ่จะโตตามรอบเดือน ทำให้มีอาการปวดช่วงใกล้มีประจำเดือน บางคนอาจบรรยายอาการปวดว่า ปวดคล้ายกับมีเข็มทิ่มในเต้านม

วิธีการรักษา มีให้เลือกหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

1. ผ่าตัดเลย --> ข้อดีของการผ่าตัดเลย คือ สามารถนำเอาชิ้นเนื้อมาตรวจได้ว่า ก้อนที่พบและผ่าตัดไปนั้น เป็นอะไร ผล 100% แต่ ไม่การันตีว่าจะไม่มีก้อนขึ้นมาใหม่นะคะ
--> ข้อเสียของการผ่าตัด คือ มีแผลเป็น ( อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้) มากหรือน้อยแตกต่างกันไป โดยเฉลี่ยแล้วจะใหญ่กว่าก้อนเล็กน้อย อีกอย่างคือ เจ็บ เมื่อฉีดยาชา และเมื่อยาชาหมดฤทธิ์ หากใครใช้วิธีดมยาสลบก็เจ็บหลังจากตื่นขึ้นมาอยู่ดีค่ะ แต่เจ็บนี้อยู่ไม่นาน ประมาณ 2-3วัน อาการเจ็บก็จะดีขึ้น

2. ไม่อยากผ่าตัด ไม่พร้อม ขอตัดสินใจก่อน ขอกลับไปปรึกษา( ใครก็ตาม)ก่อน เราสามารถดูอาการได้ อย่างที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า เมื่อพบก้อนที่เต้านมนั้น 95% เป็น ซีสต์ หรือต่อมเต้านมที่โตขึ้น(คือ เมื่อมีผู้หญิง 100คน มีก้อนที่เต้านมนั้น 95 คน จะเป็น ซีสต์ หรือต่อมเต้านมที่โตขึ้น อีก 5 คนเป็นเนื้อร้าย) ดังนั้น ตามสถิติแล้ว โอกาสเป็นเนื้อร้ายนั้น ไม่มาก สามารถจะติดตามการรักษาได้โดย
คลำเต้านมด้วยตัวเองทุกวัน โดยสังเกตุว่า ก้อนเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เจ็บมากขึ้นหรือไม่ โตขึ้นหรือไม่ มีเลือด หรือน้ำหนองไหลจากหัวนมหรือไม่ หากมี ควรกลับไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอวันนัด
แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ให้ไปติดตามการรักษาตามนัด

วิธีการคลำเต้านมนั้นมีวิธีเบื้องต้นดังนี้

1.ยืนหน้ากระจก

-ปล่อยแนบข้างลำตัวตามสบาย เปรียบเทียบเต้านมทั้ง 2 ข้างว่ามีการบิดเบี้ยวของหัวนม ความสูงต่ำ ของหัวนม หรือ สิ่งผิดปกติอื่นๆหรือไม่
-ประสานมือทั้ง 2 ข้างเหนือศรีษะแล้วกลับมาอยู่ในท่าท้าวสะเอว พร้อมทั้งดูสิ่งที่ผิด ปกติ
-ให้โค้งตัวมาข้างหน้าโดยใช้มือทั้ง 2 ข้าง วางบนเข่า ในท่านี้เต้านมจะห้อยลงไปตรง อาจมองเห็นความผิดปกติได้ชัดมากขึ้น


2.นอนราบ

-นอนในท่าที่สบายแล้วสอดหมอน หรือม้วนใต้ผ้าใต้ไหล่ซ้าย
-ยกแขนด้านเดียวกับเต้านมที่จะตรวจเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบซึ่งจะทำให้ คลำพบ ก้อนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอก ซึ่งมีเนื้อนมหนามากที่สุด และเกิดมะเร็งบ่อยกว่าส่วนอื่น
-ให้ใช้ 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และ นิ้วนาง คลำทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ ที่สำคัญคือ ห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกว่ามีก้อน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่


3.ขณะอาบน้ำ

-สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็ก
ให้วางมือข้างเดียวกับเต้านม ที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างคลำ ในทิศทางเดียวกับที่คลำในท่านอน
-สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้มือข้างนั้นประคองและตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้คลำจากด้านบน


วิธีการคลำ ให้ใช้สัมผัสบริเวณปลายนิ้ว วนเป็นก้นหอย จาก ฐานนมจนถึงหัวนม ดังรูปค่ะ














กรุณาอย่าใช้นิ้วจิ้มนะคะ ไม่รู้สึกว่ามีก้อนหรอกค่ะ จะเจ็บเสียเปล่าๆ

ในบางกรณี เช่น เมื่อมีอาการเจ็บเต้านมแล้ว แต่คลำไม่พบก้อน แพทย์อาจจะส่งตรวจ เอ็กซเรย์กับอัลตร้าซาวน์ หรือที่เราเรียกกันว่า mammogram ซึ่งจะกระทำได้ในคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ ถ้าอายุไม่ถึง 30 เท้อเต้านมจะเอ็กวเรย์ไม่ชัดเจน จะทำได้แค่ อัลตร้าซาวน์เท่านั้น การทำ mammogram มีข้อดีคือ ช่วยบอกคุรว่า มีก้อนจริงๆ นะ ก้อนน้ำ หรือก้อนเนื้อ มีการสะสมแคลเซียมที่ผิดปกติไหม แต่ไม่สามารถการันตี เรื่องมะเร็งได้ เนื่องจากสิ่งที่เห็นเป็นเงาเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ ผล mammogram บอกคุณว่า ไม่ได้เป็น เนื้อร้าย มันมีความแม่นยำแค่ 70-80% เท่านั้น ( หมายความว่า เมื่อนำคนที่เป็นมะเร็งเต้านม10 คนไปตรวจ mammogram ผล mammogram จะออกว่าเป็นมะเร็งแค่ 7-8 คน ที่เหลือจะบอกว่าไม่เป็นทั้งๆที่เป็นค่ะ)

ดังนั้น ควรระมัดระวังเรื่องข้อด้อยตรงนี้ ของ mammogram ไว้ด้วย

ปัจจุบันนี้มีการเจาะเอาก้อนไปตรวจ เพื่อดูชิ้นเนื้อคร่าวๆ เนื่องจาก ไม่ต้องการผ่าตัด ค่ะ ข้อดีคือ ไม่มีแผลเป็น มีเพียวรอยเข็มเหมือนเจาะเลือดเท่านั้น แต่ จะต้อง เจาะ 4 - 8 ครั้ง และ มี ความแม่นยำ ประมาณ 80 % เช่นกัน เนื่องจาก เราอาจจะเจาะไม่โดนก้อนตรงส่วนที่เป็นเนื้อร้ายก็ได้

ท้ายสุดถ้ายังคงกังวลละก็ ไปเอาออกมาตรวจเสียเถิดค่ะ ดีสุด ไม่กังวล สบายใจ นอนหลับด้วย

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

ถ่ายเป็นเลือดสีแดง!!! ทำไงดี!!??

เคยไหมคะ ที่วันหนึ่งคุณเข้าห้องน้ำ แล้วถ่ายออกมามีเลือดสดๆ สงสัยล่ะสิว่า ทำไมblog นี้เอาเรื่องนี้มาพูด

อย่าบอกว่าคุณไม่เคยมองนะ มันออกมาจากท้องของคุณ คุณไม่เคยดูนี่ ออกแนวผิดปกติไปหน่อยนะคะ

เชื่อไหมคะ ถ้าจับคนมานั่งถาม 100 คน มีคนที่ถ่ายเป็นเลือดสดๆ ถึงเกือบๆ 90% ไม่เชื่อลองถามเพื่อนคุณดูก็ได้ค่ะ เคยไหมเอ่ย??

สาเหตุการถ่ายเป็นเลือดสดๆ มักเกิดจากการที่มเลือดออกที่บริเวณลำไส้ตรง (ที่ตรงในรูปเขียนว่า Rectum นี่แหละค่ะ) และรูทวาร (ที่ตรงในรูปเขียนว่า Anus นี่แหละค่ะ)







บริเวณนี้อยู่ใกล้ทางออกมากที่สุด เลือดที่ออกมาจึงเป็นเลือดสด




เอ........ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เลือดออกมาจากบริเวณนี้ได้



หุหุ .... พอจะนึกออกไหมคะ? คุณน่าจะมีคำตอบในใจอยู่บ้างแล้ว


สาเหตุที่พบบ่อยที่คุณๆอาจจะเคยคุ้นหู อันดับแรก คือ ริดสีดวงทวาร


ริดสีดวงทวาร คุณอาจจะเคยได้ยิน แล้วคุณทราบไหมคะ? ริดสีดวงทวารคืออะไร?


โดยส่วนใหญ่ หลายคนมักคิดว่า ริดสีดวงทวารเป็นก้อนที่รูทวาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ริดสีดวงทวารนั้น เป็นเส้นเลือดโป่งพองที่เกิดขึ้นบริเวณลำไส้ตรง และ รอบรูทวาร


อธิบายแบบนี้เข้าใจยากไหมคะ งั้น ลองดูใหม่ ถ้าเปรียบเทียบ ลำไส้ตรงแบบรูปด้านบน เป็น ท่อพีวีซี แบบท่อน้ำ ที่ตั้งตรงลงมา เส้นเลือดที่มาเลี้ยงลำไส้ตรง มีลักษณะเป็นร่างแห เปรียบเหมือนตะแกรงลวดที่นำมาล้อมทับลำไส้ตรงอีกครั้ง อา... ดูเหมือนจะวาดภาพออกใช่ไหมคะ เล้นเลือดที่ล้อมรอบลำไส้ตรงนั้นต่างกับตะแกรงลวดตรงที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่า ไม่แข็งกระด้างแบบโลหะ แต่ยืดหยุ่นได้เหมือนลูกโป่ง


ลองจิตนาการดูนะคะ เมื่อคุณเบ่ง หรือไอ ลูกโป่ง(ซึ่งในที่นี้คือเส้นเลือดที่ล้อมรอบไส้ตรงและรูทวารไว้)ก็จะพองออก เมื่อหยุดเบ่งก็จะยุบไป


เอ้า! เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ .....อีกที เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ .....อีกที เบ่ง --> พอง , หยุดเบ่ง--> ยุบ อะไรจะเกิดขึ้นกับลูกโป่งที่คุณเป่าบ่อยๆ


ลูกโป่งจะยืดมากขึ้น แล้วย้อยออกมา มันจะย้อยออกมาจนดันผนังลำไส้ออกมาในรูปเป็นก้อน คุณจึงเห็นเป็นก้อนที่รูทวาร


จากที่สาเหตุที่กล่าวมา แสดงว่า ริดสีดวงทวาร เกิดจากการเบ่ง หรืออะไรที่เหมือนเบ่ง เช่น ไอ หรือตะโกนเป็นต้น


คนเราจะเบ่งเมื่อ ท้องผูกบ่อยที่สุด ดังนั้น สาเหตุที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร จึงเกิดจากท้องผูก มากที่สุด


แนะ!! มีคนแย้งในใจค่ะ " ไม่เคยท้องผูกเลยนะ ออกแนวท้องเสียด้วยซ้ำ ถ่ายบ่อยๆ ทำไมเป็นริดสีดวงหล่ะ"


โดยส่วนใหญ่ ถ้าคุณถ่ายบ่อยๆ ทำให้เกิดความดันในช่องท้องสูงได้เหมือนกันค่ะ สังเกตุดีๆ คุณจะเบ่งๆ แล้วลำไส้จะบีบตัวอย่างแรง จังหวะนั้นแหละค่ะ ที่ความดันในเส้นเลือดสูงขึ้น เหมือนเป่าลูกโป่ง


คุณแม่ๆที่ตั้งท้อง ก็มักจะเป็นริดสีดวงทวารเสมอค่ะ จะมากจะน้อยต่างกัน เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้น เนื่องจากคุณแม่มีคุณน้องตัวเล็กๆ อยู่ในมดลูก มดลูกนี่แหล่ะค่ะ จะกดลงบนเล้นเลือดดำใหญ่ในช่องท้อง ทำให้เกิดการเป่าลูกโป่งแทบจะตลอดเวลา แต่เป็นเป่าทีละน้อยๆ กลายเป็นว่า คุณแม่ๆ ทั้งหลายจึงมีการเป่าลูกโป่งโดยไม่รู้ตัว

พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่า ริดสีดวงทวารเกิดจากอะไร เมื่อเข้าใจการดูแลรักษาก็จะง่ายขึ้น

มีคำถามว่า " เราจะต้องไปหาหมอไหม เมื่อเราถ่ายเป็นเลือด?" บอกตรงๆ นะคะ รบกวนถ้ามีเวลา กรุณาเถอะค่ะ ไปซักนิด จริงๆ แล้วการถ่ายเป็นเลือดนั้น มีได้หลายสาเหตุ ถึงสาเหตุที่เราพบบ่อยจะเป็นเรื่องของ ริดสีดวงทวารก็เถอะ แต่สาเหตุอื่นก็มีบ้าง เช่น การเป็นแผลที่รูทวาร แต่ ที่น่ากลัวคือการมีก้อนเนื้องอกที่รูทวาร อันที่เราเรียกกันว่า มะเร็งลำไส้นี่แหล่ะค่ะ

เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงเรื่องนี้ที่หลัง

มาดูกันว่า เมื่อคุณทราบว่าตัวเองนั้น เป็น ริดสีดวงทวารแล้ว จะทำอย่างไร??

ขออธิบายก่อนนะคะว่า ริดสีดวงทวาร มี 2 ประเภท คือ 1. ริดสีดวงทวารที่อยู่ด้านนอก ( External Hemorrhoid) ซึ่งเกิดต่ำกว่า dentate line 2. คือ ริดสีดวงทวารที่อยู่ด้านใน ( Internal Hemorrhoid) ซึ่งก็คือ ส่วนที่อยู่เหนือ dentate line ถ้าสงสัยว่า dentate line อยู่ตรงไหน ดูรูปนะคะ


ความสำคัญของ ริดสีดวงทวารส่วนนอก และส่วนใน คือ ริดสีดวงทวารส่วนนอกนั้น ไม่สามารถรัดหัวด้วยยางได้ เนื่องจากบริเวณต่ำกว่า dentate line จะมีเส้นประสาทรับรู้ความเจ็บปวด อยู่ด้วย ในขณะที่ ส่วนที่อยู่เหนือ dentate line จไม่มีเส้นประสาทรับรู้ความเจ็บปวด จะมีแค่ เส้นประสาทรับรู้เรื่องการขยายตัวของลำไส้เท่านั้น ( ความรู้สึกก็เหมือนทางข้าวอิ่มจนแน่นไงคะ) จึงสามารถรัดหัวได้ง่าย นอกจากนี้โอกาสที่จะพบริดสีดวงทวารปลิ้นออกมาจนอักเสบนั้น จะพบในริดสีดวงทวารส่วนนอกได้บ่อยกว่า (มันใกล้ทางออกนี่ ก็เลยออกง่ายกว่า)

โดยส่วนใหญ่ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีก้อนออกมา เรามักจะนึกถึงริดสีดวงทวารเมื่อมีก้อนที่รูทวารมากกว่าถ่ายเป็นเลือด แต่เมื่อมีถ่ายเป็นเลือด โดยส่วนใหญ่ กลับนึกถึงมะเร็งลำไส้ อืม....นะ ก็มันน่ากลัวกว่ากันนี่นา

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่า เอ .... ตัวคุณเป็นริดสีดวงทวารไหม? ให้ลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่ะ แต่ถ้าคุณไม่อยากไปพบแพทย์ ลองทำตามนี้ดูนะคะ ถ้าเป็นริดสีดวงทวารที่ไม่รุนแรง มักจะดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ถ้าเป็นรุนแรง คุณอาจจะต้องใช้ยาร่วมด้วยค่ะ

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อคุรเป็นริดสีดวงทวาร

1. ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ โดยคำนึงถึงน้ำหนักตัวเป็นหลัก

- ถ้าคุณน้ำหนักตัว 45-50 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 3 ลิตร ต่อ วัน
- ถ้าคุณน้ำหนักตัว 51-60 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 3 ลิตร ครึ่ง ต่อ วัน
- ถ้าคุณน้ำหนักตัว มากกว่า 61 กิโลกรัม ให้ดื่มน้ำให้มากกว่า 4 ลิตร ต่อ วัน

ทั้งนี้ นี่คือปริมาณน้ำของผู้ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการดื่มน้ำนะคะ ถ้าเป็น โรคไต หรือ โรคหัวใจ จะต้องระวังเรื่องปริมาณน้ำมากกว่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

2. ทานผักผลไม้มากๆ เนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื้อสัตว์ควรจะเป็นเนื้อปลา เนื้อไก่ ถ้าเป็นเนื้อหมู หรือเนื้อวัว กากจะแข็ง ทำให้ถ่ายลำบาก

ที่ควรระวังคือ ถ้าคุณ ทานผักมาก แต่ทานน้ำน้อย ไม่มีทางที่คุณจะถ่ายได้สบายหรอกค่ะ เหมือนกับปูนซิเมนต์ เมื่อผสมน้ำน้อยก็จะเห็นเป็นก้อนกรวดเล็กๆหยาบๆแทน ไม่มีประโยขน์อะไร ท้ายสุดมันก็แข็งและไม่ออกอยู่ดี

3. งดอาหารประเภท ของเผ็ด ของหมัก ของดอง ชา กาแฟ โอเลี้ยง น้ำอัดลม กระทิงแดง ลิโพ ( ของจำพวกเกดียวกัน แต่มียี่ห้ออื่นด้วยนะคะ) เหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาชุด ยาประดง ยาทัมใจ ยากระจายเส้น

4. ช่วงที่มีเลือดออก ถ้ามีอาการปวดที่รูทวาร ให้ใช้ น้ำอุ่น ใส่กะละมังนั่งแช่ เน้น!! นะคะ น้ำอุ่น ใส่กะละมังนั่งแช่ กรุณาอย่าขี้โกงใช้น้ำอุ่นจากฝักบัว ฉีดที่รูทวารแทน อันนั้นไม่ช่วยค่ะ จะทำให้อักเสบมากขึ้น แช่วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ครั้งละ 15 - 30 นาที

5. อันนี้อาจจะยากที่สุด ออกกำลังกายเบาๆ วันละ 30 นาที ไม่ต้องหักโหมมาก จุดประสงค์คือ ต้องการกระตุ้นลำไส้ ให้ลำไส้ ได้เคลื่อนไหวเยอะขึ้น การบีบตัวดี อุจจาระที่อยู่ในลำไส้ ก็จะออกมาเยอะขึ้น

โดยส่วนใหญ่ หากทำตามนี้ได้จริง จะสามารถหายได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือผ่าตัด แต่หากเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้จริงๆ แม้จะผ่าตัดสัก 10 รอบก็จะกลับมาเป็นใหม่อยู่ดีค่ะ

หวังว่า คงเข้าใจเรื่อง ริดสีดวงทวารมากขึ้นนะคะ

แล้วจะหาเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ